จิตมนุษย์
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ปาราชิก”
พระที่ต้องปาราชิกแล้วไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้ใช่ไหมครับ แต่ถ้าท่านสึกออกไปแล้วยังมีโอกาสบรรลุได้อยู่ใช่ไหมครับ
ตอบ : นี่คำถามไง คำถาม “ปาราชิก” พระที่เป็นปาราชิกๆ โดยธรรมชาติของมัน คนที่จะรู้หรือไม่รู้ ตัวพระเองจะรู้ว่าเป็นปาราชิกหรือไม่เป็นปาราชิก เพราะพระเวลาทำไป พระเวลาบวชมาแล้วถ้ามีครูบาอาจารย์คอยอบรมบ่มเพาะ คอยศึกษาปาราชิก ๔ ฆ่าคนตายนี่มันชัดเจน ฆ่าคนตายหรือให้คนอื่นฆ่าก็ดี เสพเมถุนก็ดี แล้วอวดอุตตริมนุสสธรรม
อวดอุตตริมนุสสธรรม เห็นไหม ทุกคนมีความอยาก มีความต้องการความอยากใหญ่ พยายามจะพูดให้โน้มน้าวเป็นเชิงให้เขารับรู้นั่นน่ะ นั่นน่ะปาราชิกทั้งนั้นน่ะ เวลาพูดเป็นเชิงโน้มน้าวไปชี้นำว่า “ดูสิ ฉันเป็นพระอะไร” ร้อยทั้งร้อยน่ะ
ถ้าพระที่ต้องปาราชิก เราจะบอกว่า พระที่ต้องปาราชิกแล้วไม่รู้ตัวว่าเป็นปาราชิกอีกมากมายมหาศาล แล้วถ้าเป็นปาราชิกแล้วๆ ถ้าพระเป็นปาราชิกบรรลุมรรคผลไม่ได้ใช่ไหม
ถ้าเป็นปาราชิก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นคนบัญญัติธรรมและวินัยนี้เอง ถ้าเป็นผู้บัญญัติธรรมและวินัยนี้เองนะ ท่านเปรียบเหมือนตาลยอดด้วน
มะพร้าวต้นตาลถ้าพวกด้วงมันกินยอดแล้วจบ ตาลยอดด้วนๆ ปาราชิกเปรียบเหมือนกับตาลยอดด้วน ตาลยอดด้วนคือต้นตาลที่มันเกิดอีกไม่ได้แล้ว เกิดอีกไม่ได้เลยในภพชาตินี้ ในภพชาตินี้แล้วเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันก็ต้องไปใช้เวรใช้กรรมก่อน
ใช้เวรใช้กรรมก่อน แล้วเกิดมา ถ้าใช้เวรใช้กรรม เทวทัต เทวทัตธรณีสูบเลย ตกใต้นรกขุมอเวจีนู่นน่ะ แล้วกว่าจะพ้นจากนรกขึ้นมาเป็นชั้นๆ ขึ้นมา กว่ามันจะเป็นชั้นๆ ขึ้นมาแล้ว ถ้าจะมาตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่นถึงกาลเวลาของเขา นี่กาลเวลาของเขา นี่ไง ผลของวัฏฏะไง กรรมให้ผลตามความเป็นจริงไง
ฉะนั้น พระที่ต้องปาราชิกแล้วไม่สามารถบรรลุมรรคผลใช่ไหมครับ
คำว่า “บรรลุมรรคผล” มันยังมีทางต่อเนื่องกันไปใช่ไหม แต่ถ้าเป็นตาลยอดด้วนแล้วมันเกิดได้ไหม มันเกิดไม่ได้อีกแล้ว พระที่เป็นปาราชิกนี่จบ ทีนี้ไอ้ที่ว่าเป็นปาราชิกโดยไม่รู้ตัวว่าเป็นปาราชิกอีกน่ะไม่รู้เท่าไร ปาราชิกทั้งนั้นน่ะ
คำว่า “ปาราชิกๆ” หมายความว่า พระที่นักบวชเป็นผู้มีความละอาย มีหิริมีโอตตัปปะ เวลาประพฤติปฏิบัติเขาระวังตัวของเขา เขาระวังตัวของเขา เว้นไว้แต่หลง หลงหมายความว่าเหมือนวิกลจริต เหมือนคนบ้า คนบ้าเขาไม่ถือไม่สาเพราะมันเป็นคนบ้า เวลาหลงว่าตัวเองจะได้ๆ หลงว่าตัวเองจะได้มันต้องมีเหตุมีผลว่าตัวเองหลง ถ้ามันไม่มีเหตุไม่มีผลว่าตัวเองหลงเลย นั่นไง แล้วเวลาพูดชี้นำพูดให้เขาเชื่อตามนั่นน่ะปาราชิกทั้งนั้น ปาราชิกทั้งนั้นนะ
ถ้าบอกว่า แล้วถ้าท่านสึกออกไปแล้วท่านจะมีโอกาสบรรลุธรรมหรือไม่
ไม่มี ไม่มีหรอก เพียงแต่ว่า พระที่ปาราชิกแล้วในวงการสงฆ์เขามีความเห็นใจต่อกัน ถ้าเห็นใจต่อกันนะ ถ้าเป็นพระมันก็ตาลยอดด้วน เพราะเขาไม่ยอมสึกมันก็เหมือนกับผ้าเหลืองห่มตออยู่อย่างนั้นน่ะ ถ้าเขาสึกไป สึกไปเขาไปทำบุญทำบาปมันได้เรื่องบุญเรื่องบาป แต่เรื่องมรรคผลน่ะจบครับ เป็นพระยังทำไม่ได้แล้วสึกไปแล้วจะทำได้หรือ
เป็นพระนี่เป็นนักรบอยู่แล้ว เป็นนักรบอยู่แล้ว เป็นผู้ที่เผชิญกับกิเลสอยู่แล้วยังทำไม่ได้ แล้วออกไปเที่ยวเล่น ออกไปสนุกสนานตามความดำรงชีพ อย่างนั้นมันจะบรรลุธรรมหรือ
ไม่มี บรรลุธรรมไม่มีหรอก บรรลุธรรมไม่มี
เพียงแต่ว่ามันบรรลุธรรมได้ยาก คำว่า “ไม่มี” นะ แม้แต่พระเราบวช พระที่ประพฤติปฏิบัติกันนี่ล้มลุกคลุกคลานกันอยู่นี่
หลวงตาท่านพูดเอง หลวงปู่มั่นลูกศิษย์เป็นแสน ได้มาเท่าไร ได้มาที่เห็นๆ อยู่นี่ ๔๐–๕๐ หลวงตาเวลาท่านเคี่ยวของท่านนะ อาจารย์สิงห์ทองอย่างนี้ ได้หลวงปู่ลีมาอย่างนี้ ท่านเคี่ยวมาแล้วท่านได้เท่าไร
เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเอาตามความเป็นจริงนะ เวลาเอาตามความเป็นจริง มีครูมีอาจารย์ เวลาครูบาอาจารย์ท่านมีคุณธรรมในใจ นี่เป็นแบบอย่าง เป็นแบบอย่างที่มีการกระทำ แบบอย่างกันเห็นๆ
ครูบาอาจารย์ทำเป็นแบบอย่าง เราก็ปฏิบัติครูบาอาจารย์ตามนั้น แล้วมันได้มรรคได้ผลมาหรือไม่
เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอก ต่อไปไอ้พวกนี้มันไม่เอาอย่าง มันจะเอาเยี่ยงไง คือมันจะแซงหน้าแซงหลังไง คืออยากจะเป็นแบบหลวงปู่มั่น อยากเป็นแบบหลวงปู่มั่นแต่มันไม่ปฏิบัติแบบหลวงปู่มั่นไง
เวลาหลวงปู่มั่นท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านอยู่ป่าอยู่เขาของท่านทั้งชีวิตเลยอยู่ในป่าในเขา ทั้งชีวิตเลยท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านมาจำพรรษาอยู่วัดสระปทุม ท่านก็มาศึกษามาค้นคว้า ท่านไม่ใช่อยากมาเที่ยวกรุงเทพฯ ไม่ได้อยากมาเห็นกรุงเทพฯ ไม่ได้อยากมาอยู่กับคนมากๆ
แต่ในเมื่อประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ปริยัติ มันก็เปรียบเทียบกับธรรมวินัย มันก็เปรียบเทียบกับปฏิบัติ มาอยู่กับนักปราชญ์ เจ้าคุณอุบาลีฯ เป็นที่ปรึกษา เวลาเขามาศึกษา เวลาเขาไปอยู่ในสถานที่ใด เขาไปศึกษาไปค้นคว้า เขาไม่ใช่ไปเที่ยวเล่น เขาไม่ใช่ไปคลุกคลี เขาไม่ใช่ไปชุมชน เขาไม่ไปหรอก นี่ถ้าคนมีอำนาจวาสนาไง
นี่บอกว่าพระต้องปาราชิก เราจะบอกว่าไอ้ที่ปาราชิกไม่รู้ตัวอีกมากมาย ไอ้ที่ปาราชิกแล้วไม่รู้ตัว ถ้าไม่รู้ตัวก็ตาลยอดด้วนไง พอตาลยอดด้วนแล้วมันก็มีปัญหาไง มีปัญหาขึ้นมา พอตาลยอดด้วนเห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณ แล้วก็ทำตัวเองไป นรกอเวจีมันเปิดรออยู่แล้วแหละ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในปากนรกมันมีท่อนเหล็กเท่าลำตาล ลำตาลใหญ่ขนาดไหน เกือบ ๒๐ นิ้วนะ ผ้าเหลืองไปพาดอยู่ที่นั่นจนแอ่นเลย
ที่ว่า พระที่ต้องปาราชิกแล้วไม่สามารถบรรลุธรรมใช่หรือไม่
แน่นอน ตาลยอดด้วน
แล้วถ้าท่านสึกไปแล้วล่ะ จะมีโอกาสบรรลุธรรมหรือไม่
เป็นพระยังทำไม่ได้ แล้วสึกไปมันจะได้หรือ
เพราะเราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์นะ อยู่กับฆราวาส ฆราวาสเขานักปฏิบัติเขานั่งตลอดรุ่งๆ เราก็แปลกใจ ถ้าเขานั่งตลอดรุ่งได้แสดงว่า ถ้าจิตเขามีสมาธิได้มันควรจะใช้ปัญญา เราก็บอกให้พิจารณากายสิ เราก็พยายามแนะเหมือนกัน
เราก็ปฏิบัติอยู่ เขาก็ปฏิบัติอยู่ใช่ไหม เราปฏิบัติแล้วเราทำของเราได้ เราก็บอกสิ่งที่เราเคยทำให้เขาพยายามทำ เขาก็ทำ เขาพยายามทำ ไม่ได้
ไม่ได้ เราก็ส่งขึ้นไปหาครูบาอาจารย์เลย พอส่งไปเสร็จแล้วให้ท่านช่วยเหลือ สุดท้ายแล้วเราไปทำข้อวัตรเราก็ไปถามท่าน “ทำไมมันปฏิบัติแล้วไม่ได้ล่ะ”
“ศีลมันไม่พอไง บอกให้มันบวชๆ มันก็ไม่ยอมบวชไง”
สุดท้ายแล้วนักปฏิบัติคนนี้ไปเสียสติจนแก้ผ้าแก้ผ่อนอยู่ตามตลาดเลย นี่เขาไม่ฟังใครไง เขาไม่ฟังใคร พอเขาอวดดีเขาบอกว่าเขานั่งได้ตลอดรุ่ง เขาก็ทำได้
ไอ้นี่มันกิริยาภายนอก ใครบังคับทำให้ก็ได้ ไอ้กิริยาภายนอกของคนจะทำให้เหมือนกันก็ได้ แต่บุญกุศลที่จะให้เป็นมรรคเป็นผลขึ้นมามันต้องเกิดศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วเกิดศีล สมาธิ ปัญญาต้องเกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญาขึ้นมามันมหัศจรรย์จนโลกนี้รู้ไม่ได้หรอก โลกนี้รู้ไม่ได้ ปัญญาของพระโสดาบัน ปัญญาของสกิทาคามี อนาคามี พระอรหันต์ รู้ไม่ได้ สติ มหาสติ เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านรู้ของท่าน แล้วท่านให้อุบาย ท่านชักนำของท่านขึ้นไป แล้วมันไม่ทำ
เราก็แปลกใจนะว่า เอ๊! เขาก็นั่ง มีเยอะเดี๋ยวนี้ พอหลวงตาท่านบอกนั่งตลอดรุ่งๆ มีคนพยายามจะทำให้ได้แล้วก็บังคับไว้เฉยๆ
แต่ถ้าเวลาจะทำ เวลาเขาทำมันวิกฤติใช่ไหม เวลาเราปฏิบัติไปแล้วมันมีกิเลสมายุมาแหย่ มันมีอะไรมาต่อรองอย่างนี้ อย่างนี้เราเผชิญกับมันเลย
แต่ไอ้ที่เขานั่งกันนี่เขานั่งเพื่อเอาสถิติไง นั่งเพื่อให้มันได้ครบอย่างนั้นไง ไอ้นี่มันก็เป็นบุญอันหนึ่งนะ แต่เวลาเขานั่งไปแล้วนั่งหลับทั้งนั้นน่ะ
เราเห็นคนที่นั่งตลอดรุ่งๆ เพราะอะไร เพราะเราก็ทำ อย่าว่าแต่เขา โอ้โฮ! นินทาเขาทั่วเลย เราเนสัชชิกเราไม่เคยนอนมาเป็นทั้งพรรษาเลย เราก็ทำ อดอาหารเราก็อด เราทำทั้งนั้นน่ะ
แต่เราทำแล้วเราทำให้เป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือทำแล้วให้มันหลบๆ หลีกๆ ไง ไม่ได้ทำเพื่ออวดใคร คนเขารู้นี่เราไม่เอาด้วย ใครรู้ใครเห็น เราหลบเราหลีก เราทำแบบปิดลับ ทำไม่ให้ใครรู้ไง เราทำของเราอย่างนี้นะ เวลาคนมา นั่งคุยกัน ไม่ต้องภาวนา มึงกลับไปแล้วกูค่อยภาวนา
ความจริงมันเป็นแบบนั้น
ไม่ใช่ว่า โอ้โฮ! ลับหลับเขาสุมหัวคุยกันนะทั้งวันทั้งคืนเลย พอโยมมาบอกว่า “โยมกลับเถอะ พระจะภาวนา” โธ่! เยอะแยะไปหมดน่ะ
นี่พูดถึงว่า ถ้าท่านสึกไปแล้วจะมีโอกาสบรรลุธรรมหรือไม่
ไอ้เรื่องนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์เป็นข้อเท็จจริงไง คนทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ขณะที่เป็นพระพลาดพลั้งไปจนทำให้เป็นปาราชิกไปแล้ว ถ้าเขาเป็นตาลยอดด้วน ถ้าสึกหาลาเพศมาเป็นฆราวาส ก็ทำดีๆ ทำบุญทำกุศลมันก็ได้บุญกุศลช่วยบรรเทาไป แต่บรรเทาขนาดไหนมันต้องใช้เวรใช้กรรมทั้งสิ้น มันมีกรรมหนักกรรมเบาไง แล้วถ้ามันได้บุญได้กุศลนะ อย่างนี้เห็นด้วย
แต่บอกว่าถ้าสึกหาลาเพศมาแล้วจะบรรลุธรรมเลยอย่างนี้
บวชเป็นพระยังไม่ได้ แต่พอสึกมาแล้วจะทำได้ เออ! มันก็แปลกเนาะ
แต่เราเห็นมามาก ศีลมันไม่พอ ศีลมันไม่พอไง เวลาครูบาอาจารย์ของเราเรื่องศีลนี่ท่านถึงระมัดระวังกันมาก ระมัดระวังเรื่องศีลนะ เพราะมันไปทำให้เกิดนิวรณธรรม ศีลของเรา ความประพฤติปฏิบัติของเรามันจะทำให้เราไปเกิดนิวรณธรรม คือลังเลสงสัยแล้วก็ผิดพลาด เขาถึงพยายาม ถ้าใครอาบัติหนัก ถ้ายังไม่ถึงกับขาดเป็นพระ เขาก็ให้อยู่กรรม พยายามปลงอาบัติซะ ทำอาบัติให้จบ แล้วพอมันจบสิ้นแล้ว หายความวิตกกังวลแล้วมาประพฤติปฏิบัติมันจะก้าวหน้าไป นี่พูดถึงว่าปาราชิกนะ จบ
มันเรื่องของพระน่ะ โยมไม่มีปาราชิก โยมไม่เกี่ยวไง เดี๋ยวนี้เลยกลายเป็นว่าโยมภาวนากัน พระอรหันต์ทั้งนั้นเหมือนกันนะ เออ! ที่นู่นก็หัน ที่นี่ก็หัน แต่เวลาพูดออกมาแล้วไม่มีเนื้อหาสาระอะไรเลย พระอรหันต์ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ สติ มหาสติ สมาธิ มหาสมาธิ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาอย่างหยาบ ปัญญาอย่างกลาง ปัญญาอย่างละเอียด ปัญญาอย่างละเอียดสุดเป็นอย่างไรไม่มี มันพูดแจ้วๆๆ นะ เหมือนกับร้องเพลง ไร้สาระ ไม่มีสิ่งใดเลย
เดี๋ยวนี้เพราะพระมีปาราชิก โยมไม่มีปาราชิก โยมก็เลยสะดวกสบาย แล้วตอนนี้ฆราวาสสอนธรรมมากมายมหาศาล จบ
ถาม : เรื่อง “จิตตกใจถอนจากสมาธิ”
กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง วันนี้มีเหตุขณะนอนทำสมาธิมีการตกใจ ทีแรกนอนทำสมาธิเพื่อต้องการหายใจยาวๆ คิดว่าเป็นการรักษาความป่วยไข้ของร่างกายเจ้าค่ะ ลูกนอนทำสมาธิโดยหายใจลึกยาวและกำหนดพุทโธ (คิดว่าไม่ได้ทำอานาปานสติ แต่รู้สึกว่าหายใจลึกและยาวมากเจ้าค่ะ)
ขณะนอนภาวนาไปเรื่อยๆ สุนัขที่เลี้ยงไว้และนอนอยู่ไม่ไกลเขาเอาเท้าเขี่ยประตูเสียงดังประมาณหนึ่ง ซึ่งลูกรับรู้ได้และรู้กันว่าเขาอยากออกไปข้างนอก ลูกก็คิดว่าจะออกจากสมาธิแล้วเปิดประตูดีไหม แต่ก็ตัดสินใจไม่เปิด
ทำสมาธิต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้ว่านานขนาดไหนและเป็นสมาธิขนาดไหน เจ้าสุนัขตัวเดิมก็ทำเสียงดังอะไรไม่ทราบได้ แต่จิตก็มีอาการตกใจแปล๊บขึ้นมา แล้วสมาธิมันเปลี่ยนทันที ทำให้รู้ว่า ก่อนตกใจลูกรู้สึกถึงลมหายใจชัดมาก คือรู้สึกข้างในนะคะ แต่พอตกใจถึงรู้สึกรับรู้เสียงข้างนอกมากขึ้น
แต่ลูกยังจำคำสอนของหลวงพ่อได้ ไม่พรวดพราดลุกขึ้น ค่อยๆ ทำความรู้สึกตัวแล้วขยับนิ้วมือข้างขวาเล็กน้อย ก็ค่อยๆ รู้สึกตัวทีละเล็กน้อย แต่มือข้างซ้ายแทบไม่ขยับ รู้สึกคืนมาช้ามาก เหมือนอยู่คนละชั้นกัน คือออกมาส่วนหนึ่งแต่ยังอยู่ข้างในอีกส่วนหนึ่ง ข้อนี้เป็นไปได้ไหมเจ้าคะ
ลูกคิดว่า ลูกรับรู้ถึงจิตที่ตกใจและถอนจากสมาธิจะคนละคนกับที่เราตกใจในภาวะปกติ อันนี้แม้แว็บเดียวแค่รู้สึกแยกได้ว่านี่คือความรู้สึกตกใจเจ้าค่ะ ลูกพิจารณาถูกไหมเจ้าคะ ขอความกรุณาหลวงพ่อได้เมตตาให้คำตอบแก่ลูกศิษย์คนนี้ด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพอย่างสูง
ลูกศิษย์ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ลูกขอถามอีกสักข้อหนึ่งเจ้าค่ะ
เดิมลูกไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นคนมีนิสัยพยาบาทเลยเจ้าค่ะ (เคยเห็นแต่คนอื่นเป็นกัน) แต่มาระยะนี้ลูกจับความรู้สึกได้ว่านี่คือความพยาบาท เพราะเมื่อก่อนลูกคิดว่าลูกให้อภัยคนอื่นได้หมด ไม่จองเวร แต่อาจมีโกรธบ้างบางกรณี เพราะลูกคิดว่าเราไม่ต้องการกลับมาทำกับเขาแบบนี้อีก แค่นี้
แต่มาระยะนี้ลูกจะรู้สึกว่า คุณทำได้ ช่างเถอะ แต่เมื่อผลของกรรมมาถึง คุณก็รับมันให้ได้ก็แล้วกัน บ่อยๆ เข้าลูกก็เลยพิจารณาว่า แท้จริงลูกพยาบาทเขาต่างหาก เหมือนรอให้วันหนึ่งคุณจะได้รับผลของกรรมอันนั้น
สิ่งที่ลูกรู้สึกสงสัยและรบกวนสอบถามหลวงพ่ออีกก็คือ ความพยาบาทเป็นกิเลสที่ละเอียดหรือหยาบกันแน่เจ้าคะ จิตลูกยังรับรู้ถึงกิเลสที่ละเอียดขึ้นหรือจิตหยาบลงกันแน่เจ้าคะ (ลูกก็คิดแก้ไขโดยจะคิดถึงความเมตตาให้มากขึ้นเจ้าค่ะ เมตตาต่อคนอื่นและตนเองเจ้าค่ะ) กราบขอบพระคุณ
ตอบ : ไอ้นี่พูดถึงว่าจิตตกหรือถอนจากสมาธินะ
การทำสมาธิๆ เราฝึกหัดปฏิบัติของเรา ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติของเรา สิ่งที่เราปฏิบัติไปแล้วมันมีอุปสรรค มันมีสิ่งต่างๆ อารมณ์ความรู้สึกของคน จิตมันคิดเร็วมาก ถ้าจิตมันคิดเร็วมาก เวลามันคิดสิ่งใดแล้วมันก็จะฝังใจของมันไป
อะไรที่มันฝังใจมันก็ฝังใจอยู่อย่างนั้นน่ะ เหมือนแผ่นเสียงตกร่อง คิดซ้ำคิดซาก คิดซ้ำคิดซาก จะไปทำสิ่งใดก็คิดอย่างนั้น แล้วเวลาไปทำสมาธิๆ มันไปเกิดในสมาธิอีก ความคิดมันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก
ความคิดสิ่งใดเกิดขึ้นมันเป็นประสบการณ์ทั้งสิ้น ปล่อยวางมันไป ปล่อยวางมันไป
นี่เหมือนกัน เวลาเขาฝึกหัดภาวนา พอฝึกหัดภาวนา เวลานอนอธิบายถึงเหตุผลที่จิตมันตกใจ จิตมันตกใจ สิ่งที่ว่าเวลาเราเป็นคนเลี้ยงสุนัขเอง สุนัขกับเจ้านายมันรู้นิสัยกัน ถ้ารู้นิสัยกัน แต่เวลาจิตเราทำสมาธิๆ สิ่งใดที่มันรบกวน เห็นไหม มันแว็บ
พระเรานะ มีมากเลย อย่างเช่นหลวงปู่มั่นท่านอยู่ใต้ต้นลูกค้อนั่นน่ะ เวลามันตกมันจะตกใส่กลดตกปังๆ! เลย เราอยู่บ้านตาดก็เหมือนกัน มันมีลูกต้นนี้มาก แล้วที่นั่นมันเป็นหลังคาสังกะสี เวลามันตกมานี่ปัง! นั่งอยู่นี่นะเหมือนไฟมันแลบแปล๊บๆ เลย ไฟแลบแปล๊บๆๆ เลยเวลามันกระทบน่ะ สิ่งนี้มันเป็นไปได้
แล้วคนที่เขาทำเขามีของเขา ถ้ามีของเขา เวลาครูบาอาจารย์ ถ้ามันจิตธรรมดาไม่ได้ยินเสียง ก็ได้ยินเสียงอย่างหนึ่ง ถ้ามันตกใจก็ตกใจอย่างหนึ่ง แต่ถ้าจิตมันเป็นสมาธิอยู่บ้าง เวลามันกระทบมันออกรับรู้ แว็บๆๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ
นี่เขาบอกว่าจิตเขาแปล๊บเลยเวลาเสียงหมามากวนเขา แล้วเขาก็รู้ถึงความรู้สึกของเขา
ไอ้รู้ความรู้สึกอย่างนี้มันอยู่ที่สติปัญญาของคน เห็นว่าเวลามันแปล๊บนี่มันสติมากขึ้นๆ มันเป็นความตกใจเป็นปกติและไม่เป็นปกติ เวลาปกติหมายความว่าในสภาวะปกติเวลาตกใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง เวลาไปทำสมาธิเวลาตกใจก็เป็นเรื่องหนึ่ง มันก็เป็นเรื่องธรรมดา
เวลาปฏิบัติไป อย่างที่เป็นคำถาม คำถามนี้เขียนมามีอารมณ์ไปร้อยแปดพันเก้า เวลาเราปฏิบัติไปอารมณ์ร้อยแปดพันเก้าเลย ถ้าเราจะทำความสงบ เวลามันจะสงบระงับเข้ามามันต้องผ่านอารมณ์ความรู้สึกร้อยแปดพันเก้านี้มา เวลามันผ่านมาแล้ว สิ่งที่ร้อยแปดพันเก้ามันมีผลกระทบอยู่บ้าง ถ้ามีผลกระทบอยู่บ้าง เราก็วาง เราก็วาง ก็ผ่านไป
นี่บอกว่า “หลวงพ่อต้องตอบคำถามในเข้าใจด้วยนะคะ จิตมันเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
โอ้โฮ! เวลากินอาหาร ทุกคนกินอาหารแล้วมันก็อิ่มหนำสำราญก็พอน่ะ จะบอกว่าต้องให้พิจารณาทั้งหมดเลยว่าไอ้นั่นเป็นไอ้นี่ ไอ้นี่เป็นไอ้นั่น...ตาย
สิ่งนั้นผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว แล้วอารมณ์ของคน นิสัยของคนรักชอบพอไม่เหมือนกัน ถ้ารักชอบพอไม่เหมือนกัน สิ่งที่รักชอบพอมันก็ว่าสุดยอดๆ สิ่งที่มันเกลียด มันไม่ต้องการ มันบอกไม่ดีทั้งสิ้น
แล้วเวลาคนมันภาวนาไปนะ ไอ้คนมีบุญมีกุศลมันก็ได้แต่สิ่งที่มันรักมันชอบนั่นแหละ ทำให้จิตมันพาลมันติดอยู่นั่นน่ะ ไอ้คนที่มันมีแต่บาปมีแต่กรรมเวลาภาวนาไปมีแต่สิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่เป็นอุปสรรคทั้งสิ้น แล้วไปพูดกับคนชอบหรือคนไม่ชอบแต่ละฝ่ายมันก็รักชอบไม่เหมือนกัน
ทีนี้โดยความเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา สมาธิคือสมาธิ สมาธิคือจิตตั้งมั่น สมาธิคือปล่อยวางสัญญาอารมณ์ทั้งสิ้น มันเป็นอิสระในตัวของตน
แต่เวลาที่ปฏิบัติไป สิ่งที่ว่าสุนัขมันมาเขี่ยประตู สิ่งที่จิตมันตกใจ
นี่เพราะมันอยู่ในประสบการณ์อย่างนั้นไง แล้วเวลาภาวนาช่วงต่อไป เราไม่มีอารมณ์อย่างนั้น มันก็จะไปคิดอารมณ์นี้ เราเคยเป็นอย่างนี้ เราเคยเป็นอย่างนี้ มันจะคิดอารมณ์นี้ขึ้นมา แล้วมันเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ
มันเป็นอดีตไง อารมณ์เมื่อวานนี้เราก็มาคิดซ้ำคิดซาก ไอ้คิดจะเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ นี่ไม่ดู ไอ้ที่จะเกิดสดๆ ร้อนๆ อยู่นี่เป็นสมาธิได้หรือเป็นสมาธิไม่ได้ นั่งสมาธิไปแล้วมันเจ็บมันปวด แล้วถ้ามันปล่อยวาง มันว่าง มันเวิ้งว้าง ปัจจุบันนี้สำคัญ ไอ้ที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไปแล้ว ของเดิมที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยวางมันไป
นี่ของเดิมผ่านไปแล้วก็จะคิดแต่ของที่มันผ่านไปแล้ว แล้วก็จะมา “หลวงพ่อ นี่มันคืออะไร นี่คือการภาวนานะ เห็นมากับตาเลยนะ”
มันก็เห็นมากับตาไง แต่มันเป็นเริ่มต้นน่ะ มันเป็นเริ่มต้น เวลาผู้ใหญ่เขาตอบเด็กๆ เด็กๆ เวลามันถามปัญหานี่ อู๋ย! มันพูดไม่หยุดเลย เด็กมันไร้เดียงสา แล้วมันช่างรู้ด้วยนะ มันรู้ไปหมดเลย แล้วนั่งคุยกับมันทั้งวันคุยได้ทั้งนั้นน่ะ มันพูดทั้งวันเลย นั่นมันก็ประสาเด็กๆ ใช่ไหม เวลาโตขึ้นมาล่ะ โตขึ้นมาเขามีมารยาทแล้ว โตขึ้นมาแล้วสมควรมากน้อยแค่ไหน
จิตก็เหมือนกัน เวลาภาวนาใหม่ๆ รู้ไปหมดเห็นไปหมด รู้ไปหมดเห็นไปหมดก็วางซะ วางไว้ๆๆ แล้วพอโตขึ้นมา เออ! มันก็เป็นข้อเท็จจริงอย่างนี้กับทุกๆ ดวงใจ ทุกๆ ดวงใจที่ประพฤติปฏิบัติเริ่มต้นมันก็มีปัญหาอย่างนี้ทั้งสิ้น
แล้วมีปัญหาอย่างนี้ทั้งสิ้น แล้วถ้าคนที่ไม่มีอำนาจวาสนาบารมีก็ติดอยู่แค่นั้นน่ะ บอก แค่นั้นน่ะสุดยอดยอดเยี่ยม ดีที่สุดของเขา แต่คนที่ไม่มีอำนาจวาสนามากกว่านั้นเลิกไปเลย นี่แค่นั้นไง
เกิดมาเป็นมนุษย์มีกายกับใจ สภาวะของจิตใจมันเป็นแบบนั้น แล้วก็ผ่านทะลุจอกแหนเข้าไปสู่ใจของตนไม่ได้ จอกแหนมันปกมันคลุมหัวใจไว้ทั้งสิ้น แล้วก็ไปเกลือกกลั้วกับจอกแหนอยู่นั่นน่ะ ว่าจอกแหนๆ จอกแหนมันคืออะไร จอกแหนมันคืออะไร แต่ไม่ผ่านจอกแหนเข้าไปสู่แหล่งน้ำนั้นสักทีหนึ่ง
แหล่งน้ำนั้นคือหัวใจของตน แล้วคนที่มันมีจอกแหนที่มันปิดแหล่งน้ำนั้นแน่นจนไม่มีช่องวางเลย แล้วเราจะแหวกว่ายเราจะแหวกจอกแหนเข้าไปสู่น้ำนั้นต้องมีความขวนขวาย จอกแหนของใครมีมากมีน้อย มีที่มันหนาแน่น จอกแหนของใครที่มันเบาบาง จอกแหนของใครที่แทบจะไม่มีเลย มันก็อยู่ที่วาสนาการทำบุญกุศลนี้มา ฉะนั้น ถ้ามันมีบุญกุศลขึ้นมามันก็จบไง
นี่พูดถึงว่า สิ่งที่ว่าลูกเห็นลมหายใจชัดๆ ที่มันแปล๊บขึ้นมา หลวงพ่อเมตตาช่วยตอบลูกศิษย์คนนี้ด้วยนะคะ
ตอบแล้ว ตั้งสติไว้ แล้วฝึกหัดภาวนาของเราไป จอกแหนของใครมากของใครน้อยพยายามแหวกออกๆ
จอกแหนมันเป็นภัยในการคมนาคม เป็นภัยกับออกซิเจนในน้ำอะไรต่างๆ มันเป็นภัยทั้งสิ้น เขาต้องเอามันขึ้นไปบนบก จอกแหนแหวกมันออกไป ทำมันออกไป
ไม่ใช่ว่าไปกอดมันไว้แล้วว่านี่มันคืออะไร เราจะต้องศึกษาค้นคว้า
ศึกษาค้นคว้ามันเป็นเศรษฐกิจชุมชน เขาเอามาทำเป็นสินค้าขายเป็นโอทอป อันนั้นเป็นทางเศรษฐกิจที่เขาคิดค้น
ไอ้เราไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอก จอกแหนคืออารมณ์ความรู้สึกที่ขุ่นมัว สิ่งที่มันทำให้เราสงสัยมันไม่มาทำเป็นสินค้าโอทอปได้หรอก มันมีแต่ความขุ่นมัวในใจของเรา
วางซะ แล้วฝึกหัดภาวนาต่อไป ฝึกหัดภาวนาต่อไป
“อย่างนั้นแสดงว่าที่ทำมาอย่างนี้มันไม่ถูกต้องเลยใช่ไหม”
มันเป็นจอกแหน มันเป็นสัญญาอารมณ์ของแต่ละคนที่จะต้องเข้าไปเจอแบบนี้ แล้วไปติดข้องกับมันแล้วไปนอนจมอยู่กับมัน แล้วเราจะเจริญก้าวหน้าไปที่ไหน แหวกจอกแหนๆ แหวกให้มันออกไปแล้วพยายามทำอานาปานสติกำหนดพุทโธ จิตสงบเข้าไปสู่แหล่งน้ำ เข้าไปสู่หัวใจของตน นั้นจะเป็นประโยชน์กับเรามากกว่า จบ
“ลูกศิษย์ยังมีอีกคำถามหนึ่งเจ้าค่ะ ลูกมีข้อถามอีกข้อหนึ่งเจ้าค่ะ เดิมลูกไม่คิดว่าตัวเองมีนิสัยพยาบาทเลยเจ้าค่ะ เห็นแต่คนอื่นเขาพยาบาทกันทั้งนั้นเลย ลูกไม่เคยพยาบาทใครทั้งสิ้น มีแต่ความเมตตาเขา แต่เวลาลูกคิดไปๆ นะว่าถ้าต่อไปใครจะทำอะไรก็ทำเถอะ แล้วเขาต้องไปรับผลกรรมอันนั้น คิดบ่อยๆ อย่างนี้เข้า นี่มันก็คือการพยาบาทเหมือนกัน”
การพยาบาทนะ มันเป็นการผูกพัน การพยาบาทเป็นการที่เราจะจองเวรจองกรรมเขา เราจะกลั่นแกล้งเขา เราจะหาทางทำลายเขา นี่คือการพยาบาท
แต่ถ้าเวลาเขาทำอะไรเราแล้ว ที่เราคิด เออ! เอ็งทำสิ่งนี้ไปเถอะ แล้วเอ็งต้องรับกรรมของเอ็งไป อันนี้มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริงที่มันจะเกิดสภาวะแบบนั้น สภาวะแบบนั้นที่เวลาเขาทำของเขา อันนี้จะว่ารับรู้ความผูกพันก็ได้ จะว่าเป็นความพยาบาทๆ ถ้าไม่พยาบาทต้องไม่รับรู้อะไรเลยอย่างนี้ มันมีผลไง มันมีผลคือว่าเราเห็นไง เราได้ผลของการกระทำนั้น เรารับรู้อยู่อย่างนั้น ถ้าเรารับรู้แล้ว ความรับรู้อันนั้นก็คือการรับรู้ไง แต่เราไม่ใช่ไปพยาบาทอาฆาตเขา
แต่ที่เขาบอกว่ามันต้องมีเมตตามากขึ้น มีเมตตามากขึ้นอีกเพื่อจะไม่มีความเป็นความผูกโกรธในใจของตน
ถ้าทำได้มันก็ดีทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้าบอกว่าอันนี้เป็นความพยาบาท เวลาเราคิดซ้ำคิดซากแล้ว
คิดซ้ำคิดซาก ใครมาทำเรา เวลาพยาบาทอาฆาตมาดร้าย พยาบาทเขา ผูกโกรธเขา แล้วไปทำลายเขา นี่คือความพยาบาท แต่ถ้าความรับรู้ว่าเขาเคยทำเราแล้ว เออ! กรรมใครทำใครได้ ใครทำสิ่งใดต้องได้อย่างนั้น นั่นมันเป็นเรื่องข้อเท็จจริง
แล้วถ้าคิดบ่อยๆ ครั้งเข้า บ่อยๆ ครั้งเข้า มันก็เลยว่า เอ๊อะ! เราก็เป็นความพยาบาท คิดบ่อยๆ ครั้งเข้าเพราะมันมีแผลลึกในใจไง มันก็คิดบ่อยๆ คิดบ่อยๆ แต่สุดท้ายมันก็ผ่านไป
แต่การพยาบาท การอาฆาต การมาดร้าย
๑. ทำให้จิตใจขุ่นมัว
๒. คิดวางแผน
๓. จะทำลายเขา แล้วก็ทำให้ประสบความสำเร็จ
นี่ความพยาบาท
แต่ของเรา เรารับรู้ แต่ให้อภัย มันเป็นบทเรียนไง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึงเทวทัต “เทวทัตจะไม่เห็นหน้าเรา เทวทัตจะไม่เห็นหน้าเราอีกแล้ว”
เวลาเทวทัตทำร้ายพระพุทธเจ้าทำแล้วทำเล่าๆ ท่านก็พยายามอบรมสั่งสอนบ่มเพาะให้คนไปแก้ไข ไอ้นั่นก็เก่งของเขาอยู่อย่างนั้นน่ะ แต่ถึงสุดท้ายแล้วนะ ทำให้สงฆ์แบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย แล้วออกไปนะ เวลาเขาคิดของเขาได้นะ จะกลับมาขอขมาไง
“เทวทัตจะไม่ได้เห็นหน้าเราอีกแล้วแหละ”
“โอ้โฮ! เขามาแล้วๆ มาถึงหน้าวัด”
มันคิดถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่คุณงามความดีกับเราทั้งสิ้น เราต่างหากเที่ยวทำร้ายท่านทั้งสิ้น วันนี้คิดได้แล้วจะกลับไปกราบขออภัยท่าน ก่อนจะไปหาท่านได้ก็ควรทำร่างกายให้สะอาดก่อน ก็จะลงไปอาบน้ำ ลงไปทำความสะอาดร่างกาย ธรณีสูบ ผัวะ! ไปเลย
นี่ไง สิ่งที่ว่าเทวทัตทำไว้ๆ มหาศาล แล้วพระพุทธเจ้าไปพยาบาทที่ไหน แต่พระพุทธเจ้าก็รับรู้ว่าเทวทัตเคยทำอะไรไว้
“เทวทัตจะมาแล้วนะ”
“ไม่เห็นหน้าเราหรอก”
“เทวทัตจะมาถึงหน้าวัดแล้วนะ”
“ไม่ได้เห็นหน้าเราหรอก”
ถึงเสร็จแล้วธรณีสูบไปเลย ตกนรกอเวจีไปเลย นี่พยาบาทหรือเปล่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปพยาบาทใคร ไม่ได้พยาบาท แต่เขาทำสิ่งใดไว้เราก็รับรู้ได้ ฉะนั้น ความต่อเนื่อง
“ความพยาบาทนี้เป็นกิเลสที่ละเอียดหรือหยาบเจ้าคะ”
มันเป็นที่จริตนิสัย นิสัยผูกโกรธมันเป็นโทสะ มันก็มีแต่โทสะทั้งสิ้น ถ้าเป็นโลภะ โลภะมันก็มีความลุ่มหลง ถ้ามันมีความลุ่มหลง มันมีความต่างๆ ไอ้นี่พูดถึงว่ากิเลสในใจของคน แล้วถ้ามันเป็นหยาบเป็นละเอียดมันก็อยู่ที่มันหยาบละเอียดเป็นชั้นข้างนอกข้างใน ไอ้นี่เวลาหยาบละเอียดมันก็อยู่ที่หยาบละเอียด ถ้าเราตามทันมันไง
นี่เป็นความเห็นไง “ความพยาบาทเป็นกิเลสที่ละเอียดหรือหยาบเจ้าคะ จิตลูกที่รับรู้ถึงกิเลสที่ละเอียดขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะหยาบลงเจ้าคะ”
ไอ้หยาบละเอียดมันอยู่ที่สติ สมาธิ ถ้าสมาธิมันดีๆ นะ มันจับความรู้สึกที่ละเอียดได้ ถ้าสมาธิมันไม่มั่นคงมันจับที่อย่างหยาบๆ ได้ ทีนี้อย่างหยาบๆ ถ้ามีสติเท่าทันความคิดหยาบๆ นั้นมันก็ยับยั้งความคิดที่หยาบๆ นั้นได้
แต่ถ้าความคิด ถ้ามีสติ มีสมาธิที่มั่นคงขึ้นมา ความคิดที่ลึกๆ ความคิดที่ว่าเป็นกิเลสภายในใจข้างใน มันจะจับกิเลสอย่างนั้นได้ นี่ความหยาบความละเอียดขึ้นมามันอยู่ที่สติ สมาธิที่มันจะเข้าไปสู่ความหยาบความละเอียดในใจของตน
แต่ไม่ใช่ว่าเป็นระนาบอย่างนี้ เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นโลกๆ มีหยาบมีละเอียด หยาบละเอียดเพราะเราตั้งสติทันก็จับได้ ถ้าตั้งสติไม่ทันมันก็จับไม่ได้ไง ไอ้นี่หยาบละเอียดระดับนี้ไง
แต่หยาบละเอียดของเขามันมรรค ๔ ผล ๔ ถ้ามรรค ๔ ผล ๔ ขึ้นมา มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด
มรรคหยาบๆ เวลาทำคุณงามความดีที่พูดกันบ่อยๆ ไง “เราเป็นคนดีแล้วทำไมต้องไปวัด” นี่หยาบๆ เป็นคนดีก็เกิดตายบนโลกนี้ไง
คนจะถามบ่อย เวลาเขาไปชวนกันอย่างนี้ “เราเป็นคนดีอยู่แล้วทำไมต้องไปวัด”
ดีของใคร ไปวัดนี่เขาไม่ได้ไปวัดที่ว่าดีหรือชั่ว เขาไปวัดหัวใจของตน ที่ว่าดีนี่ดีกี่นิ้ว แล้วถ้าทำขึ้นไปมันจะเป็นกี่นิ้ว นี่วัดความดีของตนไง
แล้วความดีที่สูงสุด นั่งสมาธินี่ นั่งลงที่โคนไม้นี่ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ความดีที่สูงสุดไง ภาวนามยปัญญ ปัญญาที่แก้ไขกิเลสไง ความดีที่สูงสุดคือทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ใจของตน ไม่พุ่งออกมาข้างนอกเลย ไม่ทำอะไรให้คนนับหน้าถือตาคนที่ยิ่งใหญ่เลย ทำแต่กิเลสในใจของตน
พอทำแต่กิเลสในใจของตน ทำลายกิเลสในใจของตนได้แล้ว สิ่งที่เป็นธรรมในใจๆ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง นี่ยิ่งสำคัญใหญ่
เพราะประชาชนทั้งหมดเขามีกายกับใจ เขามีความทุกข์ความยากที่ฝังอยู่ในหัวใจ แล้วเวลาจะแก้กิเลสคือความทุกข์ในใจ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเราแก้กิเลสในใจแล้ว เวลาทุกข์ยากในใจของคนมันก็เป็นแบบนี้ไง
ถ้ามันไม่ได้ภาวนาจนแก้ความทุกข์ในใจของตน มันก็เหมือนกับหมอเถื่อนไง หมอเถื่อนมันใช้ยาไม่เป็น ใช้ยาไม่ได้ มันทำครูพักลักจำ จำเขามา แต่เวลาไปทำแล้วมันทำแบบครูพักลักจำ ไม่ใช่ทำเกิดจากสติปัญญาของตน
เวลาคนที่ทำจิตใจของตนสำเร็จแล้ว หมอแผนปัจจุบันที่ศึกษาทางเคมีจบสิ้น เคมีอย่างนี้จะให้ผลอย่างนี้ๆ ปฏิบัติไปแล้วจะให้ผลอย่างนี้ๆ นี่มันปฏิบัติมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ฉะนั้น เวลาหยาบละเอียดมันหยาบละเอียดอย่างนี้ไง
จะบอกว่า ไอ้ที่ว่าเป็นพยาบาทมันเป็นความกิเลสละเอียด
เราจับได้เราก็ภูมิใจไง ถ้าเราจับความบกพร่องของเราได้บ้าง เออ! อันนี้ละเอียด ก็เพิ่งเห็นก็ละเอียดไง แต่ถ้ามันเผลอ มันหยาบๆ ไง พุ่งไปอยู่ข้างนอกหมดแล้ว แต่ถ้าจับได้นี่มันละเอียด
ทำสมาธิให้ได้ก่อน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริงนั้นก่อน เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วถ้าเห็นกิเลสมัน โอ้โฮ! เราจะ อ๋อ! นี่ลูกกิเลส หลานกิเลส พ่อกิเลส ปู่กิเลส อันนั้นมันถึงจะเป็นหยาบละเอียด ถ้าละเอียดอย่างนั้น สติ มหาสติ ปัญญา มหาปัญญา ปัญญาที่ละเอียดขึ้น มรรคหยาบฆ่ามรรคละเอียด
“เราเป็นคนดีอยู่แล้วไง ไม่ต้องไปวัดไง”
แต่ถ้าเป็นคนที่มีจิตใจที่ประเสริฐเขาจะวัดหัวใจของเขา กว้างแคบแค่ไหน สูงต่ำอย่างใด มีความยึดมั่นถือมั่น มีความทุกข์ยากมากน้อยแค่ไหน แล้วพยายามทำความสงบของใจ
สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
จิตมนุษย์ ใจของคน จิตมนุษย์ แล้วเวลามันพิจารณาขึ้นมานี่เป็นอริยทรัพย์ เป็นอริยบุคคล หัวใจนี้เป็นอริยประเพณี ประเพณีของพระอริยเจ้าที่เกิดมาจากใจที่เกิดจากความเป็นจริงอันนั้น
แล้วรูปแบบภายนอกนั้นเป็นเรื่องของโลกๆ รูปแบบภายนอก รูปแบบภายในที่ให้มันเป็นจริงขึ้นมา ถ้าเป็นจริงขึ้นมามันจบสิ้นกระบวนการที่นี่ไง
นี่พูดถึงว่า จิตตกใจถอนจากสมาธิเนาะ
แล้วฝึกหัดปฏิบัติของตนไป ไอ้ที่ถามมานี่มันเป็นประสบการณ์ มันเป็นเวลาจิตมันมีความสงบบ้าง แล้วมันตกใจมันรู้มันเห็นขึ้นมามันก็แปลกประหลาดมหัศจรรย์ นี่พูดถึงว่าคนที่หัดปฏิบัติใหม่ๆ นะ
แต่สำหรับเรานี่ แหม! คุยเรื่องอะไรก็ไม่รู้ แต่มันเป็นคำถาม เราก็ตอบคำถามแล้ว จิตมนุษย์ ใจคนมันเป็นแบบนี้ เอวัง